วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เราจะสามารถต่อคอมพิวเตอร์ที่มีจิตสำนึกได้จริงๆ ในอนาคตหรือไม่ ???

[บทความพิเศษ] เราจะเป็นได้สร้างคอมพิวเตอร์ที่มีจิตสำนึกได้ครันๆ ในอนาคตใช่ไหมไม่ ???
เชื่อว่าเราๆ ท่านๆ คงจะได้เห็นหุ่นยนต์ที่มีความคิดเป็นของตัวเองกันมาอย่างมากมายจากใน จอเงินครับ ไม่ว่าจะเป็น Skynet จาก Terminator ไม่ก็จักป๊าเดปป์จาก Transcendence ฯลฯ อีกมากมาย ซึ่งทำให้ใครหลายๆ คนอดคิดไม่ได้ครับว่าในอนาคตนั้นเราจักมีคอมพิวเตอร์ที่มีความรู้สึกนึกคิด เป็นของตัวเองไม่ก็ไม่ วันนี้เราจักมาไขคำตอบกันครับว่าเรื่องจากหนัง Sci-Fi จักกลายมาเป็นความนักได้อย่างไร
ก่อนที่เราจักไปเรียนรู้กันว่าคอมพิวเตอร์นั้นสามารถที่จะมีความรู้สึกนึก คิดได้หรือว่าไม่นั้น สิ่งแรกที่เราต้องทำความรู้จักก่อนก็คือปัญญาประดิษฐ์หรือว่า Artificial Intelligence ไม่ใช่หรือเรียกสั้นๆ ว่า A.I. ครับ A.I. นั้นคือการพัฒนาโปรแกรมให้ระบบคอมพิวเตอร์มีพฤติกรรมให้เหมือนกับมนุษย์มาก ที่สุดเท่าที่จักทำได้
วิธีการที่จักทำให้คอมพิวเตอร์นั้นมีพฤติกรรมเหมือนกับมนุษย์นั้นเราจะจะทำ การเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้พร้อมทั้งความทำได้ทางประสาทสัมผัสให้กับเครื่อง คอมพิวเตอร์ก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นจะเลียนแบบมาจากรูปแบบการเรียนรูปพร้อมทั้งการตกลงใจของ มนุษย์ครับ A.I. นั้นมีหลายสาขาครับอันประกอบไปด้วย
  • Expert-System ไม่ก็ระบบผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นระบบให้คำปรึกษาในการจัดการปัญหา เพราะอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ที่ได้ใส่เอาไว้ในโปรแกรม
  • Neural Network ไม่ใช่หรือระบบจำลองคอมพิวเตอร์ให้ทำได้ทำงานเหมือนกับสมองของมนุษย์ได้(ไม่ใช่หรืออย่างน้อยก็จำลองให้เหมือนมากที่สุด)
  • Genetic Algorithms ใช่ไหมปัญญาประดิษฐ์ที่เอาไว้ใช้ด้วยว่าการสร้างทางเเอิกเกริกกจำนวนมาก รวมไปถึงตกลงใจเเล่าลือกทางเเอิกเกริกกที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้เพราะปัญหานั้นๆ
  • Natural Language Processing ใช่ไหมการประมวลภาษาธรรมชาติ เป็นการโปรแกรมเพื่อให้คอมพิวเตอร์เชี่ยวชาญที่จะเข้าใจพร้อมกับประมวลผลภาษา ธรรมชาติของมนุษย์ เช่นคำพูดใช่ไหมภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ฯลฯ แล้วคอมพิวเตอร์สมรรถที่จักทำการโต้ตอบได้อย่างเหมาะสมกับภาษานั้นๆ
  • Learning System หรือว่าระบบการเรียนรู้เป็นระบบที่สร้างขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์เชี่ยวชาญที่จักทำ การเรียนรู้ได้จากประสบการณ์(ตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์รอบรู้เรียนรู้ได้ว่า ขับฝ่าไฟแดงเป็นเรื่องผิด) ภายหลังนั้นคอมพิวเตอร์สามารถที่จะโต้ตอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่าง เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม(ตามสิ่งที่เรียนรู้มา)
  • Vision System ไม่ก็ระบบการมองเห็นเป็นระบบที่คอมพิวเตอร์เชี่ยวชาญที่จะทำการบันทึกสิ่งที่มอง เห็น แล้วเก็บไว้ในหน่วยความจำในลักษณะของรูปภาพ ตัวอย่างเช่นระบบวิเคราะห์รอยนิ้วมือ(เทียบกับมนุษย์ก็คือความทรงจำในลักษณะ ที่เป็นรูปภาพ)
  • Robotic ไม่ก็หุ่นยนต์เป็นการพัฒนาเครื่องจักรกลใช่ไหมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้เชี่ยวชาญทำ การเคลื่อนไหวได้เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ เพราะการเคลื่อนไหวนั้นจะมีความแม่นยำเที่ยงตรงกว่ามนุษย์หลายเท่า(เนื่องแต่ หุ่นยนต์ไม่มีกล้ามเนื้อให้เกิดความเหนื่อยล้า)
การที่วิชาทางด้านปัญญาประดิษฐ์แยกพวกของปัญญาประดิษฐ์ไว้หลายๆ เหล่า ก็เนื่องมากจากการทำงานด้วยกันหลักของการเขียนโปรแกรมเพราะด้วยปัญญาประดิษฐ์แต่ละ หมวดจะไม่เหมือนกันครับ ด้วยกันจากข้อมูลข้างต้นเราจะเห็นได้ว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นถูกจำลองมาจากพฤติกรรม ของมนุษย์แทบทั้งสิน
ปัญหาที่ตามมาก็คือปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้จักทำเป็นสู้กับพฤติกรรมพร้อมกับความ รู้สึกนึกคิดของมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ได้ไม่ก็ไม่ ให้ลองดูจากตารางดังถัดนี้ครับ
จากตารางท่านจะเห็นได้ครับว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นไม่ได้มีความทำได้เหนือ มนุษย์ไปหมดทุกอย่าง สิ่งหนึ่งที่เป็นทั้งผลดีพร้อมกับผลร้ายในเวลาเดียวกันก็คือจิตใต้สำนึกเรื่องของ ความดีงามนั้นปัญญาประดิษฐ์ไม่มีเหมือนมนุษย์เราครับ ตัวอย่างเช่นเรื่องของการลักขโมย มนุษย์เราปางกระหายจักได้ของอะไรสักอย่างที่อยู่ตรงหน้าแต่ว่าของชิ้นนั้นไม่ ใช่ของเรา ด้วยประสบการณ์พร้อมด้วยคำสั่งสอนรวมไปถึงความรู้ทางด้านกฎหมาย อาจจะทำให้เราใตร่ตรองพร้อมด้วยตกลงใจไม่ทำการลักขโมยนั้น
ในทางกลับกันถ้าเป็นปัญญาประดิษฐ์แล้ว การปลงใจเเลื่องลือกว่าจะขโมยหรือไม่ก็ไม่ขโมยนั้นมีปัจจัยหลายอย่างซึ่งขึ้นอยู่กับ ว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นจักมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลักขโมยในครั้งนั้นมาก แค่ไหน และคอมพิวเตอร์ก็จักเระบือกคำตอบที่ดีที่สุดที่สมรรถทำการประมวลผลออกมาได้ ซึ่งนั่นอาจจักหมายถึงการขโมยของชิ้นนั้น เป็นต้นครับ(เพราะว่ายังไม่มีกฎหมายที่ใดบนโลกนี้ที่กราบทูลว่าหุ่นยนต์ลักขโมยแล้ว มีความผิดเป็นต้น)
จนถึงเรามองว่าหน่วยประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเหมือนกับสมองที่ ใช้ในการปลงใจนั้น สิ่งนี้ก็ไม่ผิดมากนักครับ เพราะว่าตั้งแต่เรามีเครื่องคอมพิวเตอร์มานั้น คอมพิวเตอร์ก็ได้เข้ามาทำงานทางด้านการตัดสินใจหลายๆ อย่างแทนมนุษย์ เพราะว่าเฉพาะอย่างยิ่งกับงานที่มีความละเอียดไม่ว่าจักเป็นงานทางด้านตัวเลข ไม่ก็งานทางด้านการประมวลผลข้อมูล
สิ่งหนึ่งที่คอมพิวเตอร์มีดีกว่ามนุษย์เราก็คือคอมพิวเตอร์ไม่รู้จักเหนื่อย ล้าครับ ซึ่งนั่นทำให้คอมพิวเตอร์สมรรถที่จักทำการประมวลผลได้ตลอดเวลาเลยที เดียว(ถ้าเครื่องไม่ร้อนจนไหม้ไปซะก่อน) แต่มนุษย์เรานั้นมีความเหนื่อยล้าจากปัจจัยหลายๆ อย่างเกิดขึ้นดังนั้นเราต้องมีการพักผ่อนครับ
คุณอาจจะชี้ว่าถ้าเรากลัวปัญญาประดิษฐ์ทำผิดก็ให้โปรแกรมไปด้วยว่าสิ่ง ไหนที่ปัญญาประดิษฐ์ทำแล้วจะผิด ซึ่งเรื่องนี้นั้นก็ได้มีการถกเถียงมากมายกันอย่างกว้างขวางครับ ก็เพราะว่าแม้กระทั่งมนุษย์เองแล้วนั้น
การกระทำในเรื่องเดียวกันบางคนอาจจะคิดว่าสิ่งนี้ผิด ส่วนอีกคนอาจจะคิดว่าสิ่งนี้ไม่ผิดก็เป็นได้ สมมติคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบดูภาพยนตร์ Sci-Fi บ่อยๆ แล้วหล่ะก็ คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนครับว่าเพราะส่วนมากแล้วหุ่นยนต์ที่มีปัญญาประดิษฐ์ อยู่ด้วยนั้นจักปฏิบัติตามสิ่งที่จักทำให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด(หรือไม่ก็สิ่ง ที่ดีที่สุด) แม้แต่นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เองก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปในเรื่อง นี้ครับ มีทั้งเสียงที่สนับสนุนกับเสียงที่ไม่สนับสนุนครับ
นักวิทยาศาสตร์อย่าง Stephen Hawking นั้นเคยพูดว่าการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบันนั้นยังไม่จำเป็นมากนัก ที่เราจะต้องใส่ใจในเรื่องของความกลัวเหมือนอย่างภาพยนตร์ Sci-Fi แต่ในอนาคตถ้าเทคโนโลยีรุดหน้าไปมากขึ้นจนกระทั่งปัญญาประดิษฐ์ได้รับการ พัฒนาจนมีความทำเป็นที่เท่าเทียมกับมนุษย์เราทั้งทางด้านกายภาพพร้อมด้วยทางด้าน ความคิด จนกระทั่งนั้นปัญญาประดิษฐ์จักเชี่ยวชาญที่ทำการพัฒนาความรู้ความทำได้ของตัวเองต่อ ไปเหมือนมนุษย์ได้
ซึ่งจะทำให้การควบคุมปัญญาประดิษฐ์ที่อาจจะอยู่ในรูปแบบของหุ่นยนต์หรือไม่ คอมพิวเตอร์นั้นยากขึ้น ท้ายที่สุดแล้วด้วยความสมรรถในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่มีมากกว่า มนุษย์หลายเท่านักก็จะเอาชนะวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ ได้ครับ
สิ่งที่เราๆ ท่านๆ เคยเห็นในภาพยนตร์ Sci-Fi นั้นอาจจักเป็นนักขึ้นมาในอนาคตครับ เนื่องจากว่าว่าวงการของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์นั้นก้าวไปเร็วมาก ในปัจจุบันเราเก่งที่จะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถที่จะพูดคุยติดต่อสื่อสาร กับเราได้อย่างรู้เรื่อง ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวที่ไหน
คุณลองมองไปที่สมาร์ทโฟนของคุณเองก็ได้ครับ ถ้าเป็น iOS ก็จักมี Siri ที่ทำเป็นคุยกับเราได้ ส่วนระบบ Android ก็มี Google Now เพราะด้วย Windows Phone เองนั้นก็มี Cortana สิ่งต่างๆ เหล่านี้เหมือนอาจจะพึ่งริเริ่มต้นมาได้ไม่นานนักแต่ความเร็วในการพัฒนาของ ระบบต่างๆ เหล่านี้นั้นไปได้รวดเร็วกว่าที่เราๆ ท่านๆ คิดไว้มาก(ดูง่ายๆ ครับ iPhone พึ่งมีรุ่นที่ 6 ไปไม่นาน ก็ยังเก่งขนาดนี้) นี่ยังไม่รวมไปถึงเทคโนโลยีของหุ่นยนต์ที่นับวันจักมีการจำลองมาจากการ เคลื่อนไหวเป็นแน่แท้ๆ เข้าไปจนหุ่นยนต์เริ่มเคลื่อนไหวได้เหมือนกับมนุษย์เราแล้ว(แต่ดีกว่าตรงที่ ไม่รู้จักเหนื่อย)
แม้จะพูดไปแล้วตอนนี้มนุษย์ชาติก็เหมือนกับกำลังก้าวอยู่ในระดับทารก เพื่อที่จักสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความรู้สึกนึกคิดได้เองครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดก็คือเรื่องของ Google ที่ครั้นเมื่อคาดว่า 2 ปีก่อนนี้ทาง Google ได้มีการพยายามทำโปรแกรมที่จักจัดเรียงรูปแบบของข้อมูลที่เหมือนๆ กัน
แต่ทว่าโปรแกรมนั้นต้องดูไฟล์วีดีโอบน Youtube เป็นล้านๆ ไฟล์ถึงจะเชี่ยวชาญระบุแมวได้ถูกต้องแค่ 70% ในขณะที่มนุษย์เรานั้นอาจที่จะจำแนกได้แค่การดูตัดผ่านประสบการณ์ไม่กี้ ครั้งเท่านั้น ดังนั้นคงต้องใช้เวลาอีกนานครับกว่าที่คอมพิวเตอร์ที่มีปัญญาประดิษฐ์นั้นจัก ทำได้มีจิตใต้สำนึกเองได้
หมายเหตุ - มีนักสังคมศาสตร์บางคนย้ำเตือนว่าโดยปกตินั้นมนุษย์เองก็มีความสลับซับซ้อนใน พฤติกรรมอยู่มากมาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เราจะจำรองระบบที่มีแต่ถูกไม่ใช่หรือผิดให้ทำได้ที่จะ ตัดสินใจใช่ไหมมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมนุษย์ได้ครับ แต่ว่าในอนาคตนั้นอะไรก็เป็นไปได้ครับ
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น